Last updated: 20 Jun 2024 | 596 Views |
ใครจะไปคิดว่าแค่ใช้ “ลิป” หนึ่งแท่ง กับ “บลัชออน” อีกหนึ่งอัน จะสร้าง “ขยะ” ให้โลกได้?
รู้หรือไม่ว่า? สกินแคร์หรือเครื่องสำอางที่เราใช้แล้วทิ้งนั้นมากกว่า 70% กลายเป็นขยะพลาสติกที่ต้องฝังกลบ เพราะไม่สามารถรีไซเคิลได้ จึงทำให้ในแต่ละวันเราจะสร้างขยะให้โลกประมาณ 1.14 กิโลกรัมต่อวันต่อคน ซึ่งต้นต้อของการสร้างขยะจำนวนมากไม่ได้มาจากที่ไหนไกล แต่มาจาก “บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง” นั่นเอง ที่ในแต่ละปี อุตสาหกรรมเครื่องสำอางจะสร้างปัญหาขยะจากบรรจุภัณฑ์มากกว่า 120 ล้านชิ้น โดยที่ 95% ล้วนเป็นพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง
สวยแบบเป็นมิตร เพียงแค่เปลี่ยน ก็ “รักษ์โลก” ได้
แต่ทั้งๆ ที่รู้ว่าขยะเหล่านี้มีมากขึ้นเท่าไหร่ ทำไมยังมีการผลิตอยู่? นั่นก็เพราะว่าก่อนที่ลูกค้าจะตัดสินใจเลือกซื้อ “ลิป” สักแท่ง แน่นอนว่าส่วนใหญ่คงจะเลือกจากเฉดสีที่ชอบ แบรนด์ และตามมาด้วยแพ็คเกจจิ้ง จึงไม่แปลกใจที่จะมีขยะจากเครื่องสำอางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่ภายหลังเทรนด์ผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยน โดยหันไปให้ความสนใจกับ “ความยั่งยืน” ของแบรนด์มากขึ้น จึงได้มีการพูดถึงเป็นวงกว้าง
และด้วยเหตุผลนี้เองก็ได้มีการจุดประกายให้เกิดเทรนด์ Sustainability Beauty หรือ เทรนด์ความงามยั่งยืน ที่ภาคธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ตัวผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ และทั้งหมดทั้งมวลต้องส่งผลกระทบต่อ “สิ่งแวดล้อม” ให้น้อยที่สุด หรือ พูดง่ายๆ ยิ่งรักษ์โลกมากเท่าไหร่ ลูกค้าก็ยิ่งชอบมากเท่านั้น
“ไอรา” ไม่ใช่แค่ผู้ผลิต แต่คือผู้ที่อยาก (รักษ์) โลก
และก็เช่นเดียวกันกับ “Ira” (ไอรา) แบรนด์เครื่องสำอางสัญชาติไทย ที่มีความหมายในภาษาสันสกฤตว่า ‘โลกหรือผู้ดูแลโลก’ เน้นความเป็น Eco รักษ์โลก เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย ในราคาที่เข้าถึงง่าย ก่อตั้งโดย คุณเมย์ ธนิดา ดลธัญพรภคภพ
เริ่มแรก คุณเมย์ เล่าว่า จุดเริ่มต้นของไอรา มาจากสิ่งเล็กๆ ที่เริ่มจากการนำสบู่สมุนไพร มังคุด มะม่วง ไปขายตามร้านอาหารจีน ที่พัทยา ซึ่งทำให้เห็นโอกาสว่า สินค้าออแกนิกไม่จำเป็นต้องแพง ก็ขายได้ และเมื่อนั้นเองก็ได้มองเห็นช่องว่างในตลาดที่ยังไม่มีลิปบาล์มกลิ่นข้าวเหนียวมะม่วง ที่เป็น Natural grade ด้วยความหลงใหลในส่วนผสมจากธรรมชาติ และการทำเครื่องสำอางเป็นทุนเดิม ในปี 2016 จึงได้คิดค้น “ลิปบาล์มแบบตลับ” กลิ่นข้าวเหนียวมะม่วง ขึ้นมาเป็นตัวแรก โดยใช้ชื่อว่า “Natural Lip Balm” นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ธุรกิจแบบเต็มตัวของ “ไอรา” นั่นเอง หากนับระยะเวลาก็เกือบ 7-8 ปีเห็นจะได้
หลังจากนั้นไอราก็เริ่มใส่ความ “รักษ์โลก” เข้าไป ด้วยความที่เธอสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม อยู่แล้วตั้งแต่สมัยเรียน ประจวบเหมาะกับที่ลูกค้ามองหาสิ่งใหม่ๆที่มากกว่า ไม่อยากใช้ลิปมันที่เป็นตลับ เพราะมีข้อจำกัดที่ต้องใช้นิ้วในการทา ทำให้ไม่สะดวกมากนัก จึงได้มองหาแพ็คเกจจิ้งใหม่ในรูปแบบแท่ง ที่ไม่ใช่พลาสติกทั่วไป
หากแบรนด์จะอยู่ได้ สิ่งแวดล้อมต้องอยู่ด้วย
คุณเมย์ จึงมองหาจุดแตกต่าง เนื่องจากไอราเป็นแบรนด์เล็ก หากจะต่าง ก็ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน จึงจุดประกายลิปที่เป็น หากแบรนด์จะอยู่ได้ สิ่งแวดล้อมต้องอยู่ด้วย
คุณเมย์ จึงมองหาจุดแตกต่าง เนื่องจากไอราเป็นแบรนด์เล็ก หากจะต่าง ก็ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน จึงจุดประกายลิปที่เป็น “แท่งกระดาษ” ตรงนี้เองทำให้คนรู้จักไอรา และรู้สึกได้ว่าแบรนด์มีความ Beyond Expectation หรือ เกินกว่าความคาดหมาย ทำให้ในที่สุดไอราก็ได้ใจผู้บริโภค ผ่านการมีจุดยืนและมองในสิ่งเดียวกันเหมือนกัน นั่นคือ “รักษ์โลก”
เพราะ “หากแบรนด์จะอยู่ได้ สิ่งแวดล้อมต้องอยู่ด้วย”
ด้วยเหตุผลนี้เอง “ไอรา” จึงถูกมองว่า เป็น “ตัวจริง” ในกลุ่มสินค้า “ลิป” ที่รักษ์โลก ทำให้ส่งต่อไอเดียของลิปรุ่นอื่นๆ ตามมา แต่ก็ยังคงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมดังเดิม นั่นคือ ทำจากไม้ไผ่ รีฟิลได้ ในราคาที่คุ้มค่า
ไม่ใช่แค่ “ขายได้” แต่ธุรกิจต้องทำกำไร สิ่งแวดล้อมก็ต้องดี และชุมชนก็ต้องดีด้วย ตรงนี้เองทำให้คนรู้จักไอรา
ขณะเดียวกันในช่วงระยะเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกพบเจอกับวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ทุกภาคส่วนต่างได้รับผลกระทบ แต่ที่มากที่สุดเห็นจะเป็น เกษตรกร ทำให้ คุณเมย์ มองเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้รับซื้อวัตถุดิบในประเทศ เพื่อนำมาเป็นส่วนผสม แทนวัตถุดิบบางตัวที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ
รวมทั้งเริ่มโฟกัสการทำงานกับชุมชนด้วย เพื่อให้เกิด “ความยั่งยืน” อย่างแท้จริง ผ่านวัตถุประสงค์หลักของแบรนด์คือ “ธุรกิจจะทำกำไรได้ สิ่งแวดล้อมก็ต้องดี และชุมชนก็ต้องดีด้วย” ซึ่งถือเป็นคีย์หลักของแบรนด์ในตอนนี้ที่เน้นเรื่องของ “ความยั่งยืน”
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า “ลิปบาล์ม” ของไอรา เป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่ใครเห็นเป็นต้องรู้จัก เพราะด้วยผลิตภัณฑ์ดีมีคุณภาพ แถมยังสอดแทรกเรื่องของการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ผ่านแพคเกจจิ้ง และการดำเนินธุรกิจร่วมกับชุมชน จึงนับเป็นแบรนด์ “รักษ์โลก” แบรนด์หนึ่งเลยก็ว่าได้
แต่กระนั้นด้วยความที่เรื่องของรักษ์โลก ถูกแบ่งออกเป็นหลายมิติ การจะสื่อให้เห็นว่า “แบรนด์” รักษ์โลกจริงๆ หรือไม่นั้น ล้วนต้องอาศัยการสื่อสารออกไปยังผู้บริโภคอย่างทั่วถึงและต่อเนื่องดังเช่นที่ไอราทำมา 7-8 ปี
ใช้แล้วไม่แพ้ ปากไม่ดำ วีแกน 100% แถมยังรักษ์โลก
ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำธุรกิจใช่ว่าจะราบรื่นไปเสียหมดทุกอย่าง “ไอรา” ก็เจอกับ Pain Point เช่นกัน นั่นคือ ลูกค้าต้องการสินค้าที่ใช้แล้วไม่แพ้ ปากไม่ดำ นั่นจึงทำให้ไอรา แตกไลน์สู่สินค้าใหม่ๆอย่าง ลิปบาล์มที่เป็น “วีแกน” แม้จะยังไม่ได้ถูกพูดถึงมากนัก แต่ก็ถือได้ว่ามี Loyalty ที่ดี
โดยได้มีการศึกษาอย่างจริงจังจากผู้ใช้งานจริง โดยการลิสต์ส่วนผสม และพบว่า มีขี้ผึ้งอยู่ในนั้น คุณเมย์ จึงลองตัดส่วนผสมนั้นออก จนกลายเป็นว่าสินค้าตัวนี้กลับเป็น “เรือธง” ที่ทำให้ไอรา เป็นที่รู้จักเป็นวงกว้าง และติดตลาดอย่างรวดเร็ว จนเกิด World of mount บอกปากต่อปาก “ไม่แพ้ ไร้ขี้ผึ้ง” และเกิดภาพจำในที่สุด
“ในวันนี้ถ้าเราจะทำสินค้าตัวอื่นๆ เพิ่มเราก็เลือกที่ยังคงจุดยืนว่า ต้องไม่มีสารเคมี ขี้ผึ้ง หรือสิ่งที่ก่อให้เกิดสิว แพ้ง่าย และแย่ต่อสุขภาพ ที่สำคัญต้องไม่ส่งผลกระทบต่อคนท้องอีกด้วย และถ้าสินค้ารักษ์โลก เพื่อผิวแพ้ง่าย อยู่ตัวแล้ว ก็อยากจะเจาะกลุ่มคุณแม่ตั้งครรภ์ในลำดับต่อไป” คุณเมย์ กล่าว
สวยอย่างยั่งยืน ตัวจริงเรื่องผิวแพ้ง่าย ที่รักผิว รักษ์โลก
ถัดมาสินค้าที่มาแรงไม่แพ้กันนั่นคือ แป้ง ที่เพิ่งวางจำหน่ายไปได้ไม่นาน มี 3 เฉดสี ซึ่งแป้งเนื้อเนียน ปกปิดดี และคุมความมัน ไม่มีซิลิโคน ที่ไม่ใส่แป้งทัลคัม (Talcum) ที่มีโมเลกุลเล็กไปอุดตันในรูขุมขน ดังนั้นไอราจึงใช้แป้งข้าวโพดแทน เมื่อเกิดการสูดดมเข้าไปจะไม่เป็นอันตราย
โดยจุดเริ่มต้นของแป้งก็มาจากการที่ลูกค้าเก่าซื้อลิปไปใช้เยอะมาก จนอยากจะได้ใช้สินค้าใหม่ ไอราจึงเลือกที่จะแตกไลน์สู่สินค้าใหม่ๆ และขยายจุดยืนสินค้าสำหรับคนแพ้ง่ายที่จะไม่ใช่แค่ “ลิป”
ขณะที่กลุ่มลูกค้าหลักของไอรา คือ กลุ่มวัยเกษียณ ออกโปรทีไรจะซื้อเสมอ สะท้อนให้เห็นว่า แม้สินค้าจะตามเทรนด์ อิงกับกระแส และมีเฉดสีที่เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย ใช้ได้ทุกสภาพผิวแล้วนั้น “คุณภาพ” ก็เป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้ ไอรา ทัชใจทุกกลุ่ม โดยเฉพาะ กลุ่มวัยเกษียณนั่นเอง
Top 3 สินค้าขายดี
1. Vegan Tinted Lip Balm
2. Eco Lip Balm Tube
3. Glow Enhancing Powder Foundation
** เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย และรักษ์โลกด้วยบรรจุภัณฑ์ทุกรุ่น
สุดท้ายนี้จุดหมายปลายทางของไอรา คุณเมย์ มองว่า อยากจะทำให้ไอราเป็นที่รู้จักไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่รวมไปถึงต่างประเทศด้วย นั่นหมายถึง การส่งออกนั่นเอง โดยมองว่าอาจจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี ส่วนในระยะยาวก็ได้มีการวางเป้าว่า อยากจะเป็นเหมือน “LUSH” ที่มีช็อปของตัวเอง
ซึ่งปัจจุบันไอรามีการจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด 15% ทั้ง Tops วัตสัน Eveandboy ฯลฯ และออนไลน์ 85% มีสินค้าในพอร์ตประมาณ 30 SKUs ครอบคลุมตั้งแต่หัว จรดใบหน้า
อ้างอิง ธนาคารกรุงเทพ